เมื่อเกิดภาวะไตวายแล้วมีวิธีการรักษาหรือไม่ และอย่างไร
โรคไตวาย CRF หรือ CHRONIC
RENAL FAILURE หรือโรคไตล้มเหลว
ไม่สามารถทำงาน
ได้ ก็จะมีสาร BUN และสาร
CREATININE คั่งมากในร่างกาย สาร
2 อย่างนี้
เป็นพิษต่อร่างกาย
เมื่อมีการสะสมมากขึ้น
ไม่สามารถจะทำการขับถ่ายออกจากร่างกายได้
เพราะว่าไตไม่ทำงาน
ในผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน เมื่อเกิดภาวะไตวายแล้วก็รักษาได้เช่นเดียวกับที่เกิดจากสาเหตุอื่น ๆ
แม้ผลการ
รักษาจะไม่ดีเท่ากับโรคอื่น เนื่องจากมักมีภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ของโรคเบาหวานร่วมด้วย
ซึ่งจะปรากฏ
ชัดเมื่อมีชีวิตยืนยาวขึ้น อย่างไรก็ตามวิธีการรักษาในปัจจุบันได้มีการพัฒนาให้ดีขึ้นเป็นลำดับ
ผลการรักษา
จึงดีขึ้นกว่าแต่ก่อน วิธีการรักษาเมื่อไตไม่สามารถกลับทำงานได้อีกทีเป็นที่ยอมรับกันขณะนี้ คือ
การขจัด
ของเสียทางช่องท้อง การรักษาด้วยเครื่องไตเทียมและการปลูกถ่ายไต หรือที่เรียกกันในหมู่คนทั่วไปว่า
"การล้างท้อง" "การฟอกเลือด และ "การเปลี่ยนไต" ตามลำดับชื่อที่เรียกกันทั่วไปนี้ในบางครั้งก็ทำให้
เกิดความสับสนและความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการรักษาจนทำให้ผู้ป่วยเกิดความวิตกกังวลมาก
ผู้ป่วยไตวายแพทย์จึงทำการล้างไต
หรือบางคนก็เรียกว่า
ฟอกโลหิต ด้วยไตเทียม มี 2
แบบคือ
การขจัดของเสียออกจากช่องท้อง
การล้างไตชนิด PERITONEAL DIALYSIS คือ
การล้างไตโดยวิธีการเจาะผนังหน้าท้อง
วิธีการขจัดของเสียทางช่องท้อง ที่นำมาใช้เมื่อไตเสียถาวรแล้วต้องทำอย่างไรต่อเนื่องตลอดไป
วิธีนี้อาศัย
เยื่อบุช่องท้องช่วยกรองของเสียออกจากร่างกาย
โดยการใส่น้ำยาเข้าในช่องท้องทางสายพลาสติกที่
แพทย์ได้ทำผ่าตัดฝังไว้ในช่องท้อง ทิ้งน้ำยาไว้ในช่องท้องประมาณ 4-6 ชั่วโมง
แล้วปล่อยน้ำยาออก
จากช่องท้องแล้วทิ้งไป ของเสียในเลือดที่ซึมออกมาอยู่ในน้ำยาจะถูกกำจัดจากร่างกาย
โดยทั่วไปจะทำ
การเปลี่ยนน้ำยาวันละ 4 ครั้ง
และสามารถปรับเปลี่ยนการเปลี่ยนถุงน้ำยาให้เข้ากับกิจวัตรประจำวัน
ของผู้ป่วยได้ ขณะที่มีน้ำยาในช่องท้องผู้ป่วยสามารถทำงานและมีกิจกรรมได้ตามปกติ
มีผู้ป่วยบางรายไปเต้นรำได้ วิธีนี้จึงเป็นวิธีการรักษาที่ดีและได้ผลวิธีหนึ่ง ข้อดี คือผู้ป่วยสามารถทำเองได้
และไม่ต้องมาโรงพยาบาลบ่อย ข้อเสีย
คือหากไม่ระมัดระวังความสะอาดให้ดีโดยเฉพาะในการเปลี่ยน
ถุงน้ำยาจะเกิดการติดเชื้อได้ และราคาถุงน้ำยาค่อนข้างสูง
สายพลาสติกที่ฝังไว้ในช่องท้องและน้ำยา
ที่อยู่ในช่องท้องจะไม่ทำให้มีอาการเจ็บปวด นอกจากเมื่อเกิดการติดเชื้อที่ผิวหนังบริเวณที่ฝังสาย
หรือ
มีการติดเชื้อในช่องท้อง
การรักษาด้วยเครื่องไตเทียม HEMODIALYSIS
การฟอกโลหิตด้วยเครื่องล้างไตเทียม
การรักษาด้วยเครื่องไตเทียม หรือ ที่เรียกกันทั่วไปว่า "การฟอกเลือด"
เป็นการนำเลือดจากหลอดเลือด
ที่เตรียมไว้แล้วออกจากร่างกาย ผ่านเข้ามาในตัวกรองของเสีย
เลือดที่ถูกกรองแล้วจะไหลกลับเข้า
ร่างกายทางหลอดเลือดอีกหลอดหนึ่งวิธีการนำเลือดเข้า -
ออกทางหลอดเลือดนี้คล้ายกับการให้เลือด
หรือน้ำเกลือทางหลอดเลือด (มิใช่การผ่าตัดเอาเลือดออกมาล้าง) โดยทั่วไปทำครั้งละ 5 ชั่วโมง
สัปดาห์
ละ 2-3 ครั้ง ข้อดี คือ ไม่ต้องทำเอง และการรักษาใช้เวลาไม่มาก ข้อเสีย คือ ต้องมาโรงพยาบาลบ่อย
และ ไม่ได้มีการขจัดของเสียอยู่ตลอดเวลาอย่างการรักษาทางช่องท้อง
นอกจากนั้นในผู้ป่วยโรคเบาหวาน
ยังมีปัญหาของหลอดเลือดและหัวใจ ซึ่งอาจทำให้การรักษาได้ผลไม่ดีเท่าที่ควร
การรักษาทั้งสอง
วิธีดังกล่าวข้างต้นต้องกระทำอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง และต้องทำการขจัดของเสียอย่างเพียงพอ
เพราะมิฉะนั้นการรักษาจะไม่ได้ผลและผู้ป่วยจะไม่แข็งแรงพอที่จะทำงานได้
เหตุที่ต้องรักษาตลอดไป
เพราะการรักษาเหล่านี้เป็นการทำงานทดแทนไตที่เสียไป
ตามปกติไตต้องทำงานขับของเสียที่เกิดขึ้นในร่างกายอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา
วิธีรักษาเมื่อไตเสียไป
แล้วจึงต้องทำเช่นเดียวกัน
การปลูกไตถ่ายไต
การปลูกถ่ายไต หรือ การเปลี่ยนไต คือ การนำไตของผู้อื่นที่เข้าได้กับผู้ป่วยมาปลูกถ่ายให้กับผู้ป่วย
มิใช่
การเปลี่ยนเอาไตผู้ป่วยออกแล้วเอาไตผู้อื่นใส่เข้าไปแทนที่
การผ่าตัดทำโดยวางไตใหม่ไว้ในอุ้งเชิงกราน
ข้างใดข้างหนึ่งของผู้ป่วย แล้วต่อหลอดเลือดของไตใหม่เข้ากับหลอดเลือดของผู้ป่วย
และต่อท่อไต
ใหม่เข้าในกระเพาะปัสสาวะของผู้ป่วย และต่อท่อไตใหม่เข้าในกระเพาะปัสสาวะของผู้ป่วย
การปลูกถ่ายไตนี้ใช้ไตเพียงข้างเดียวก็พอ
ถ้าร่างกายของผู้ป่วยรับไตใหม่ได้ดีและไม่มีภาวะแทรกซ้อน
อื่น ๆ ไตที่ได้รับใหม่จะทำงานได้ดี แต่ผู้ป่วยต้องได้รับยากดภูมิต้านทานตลอดชีวิต
และจะต้องอยู่ใน
ความดูแลของแพทย์ตลอดไป หากขาดยากดภูมิต้านทาน
ร่างกายจะต่อต้านไตที่ได้รับใหม่
ทำให้
ไตเสียและยังอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
ปัจจุบันการปลูกถ่ายไตถือเป็นการรักษาภาวะไตวายขั้นสุดท้ายที่ดีที่สุด
แต่การรักษาวิธีนี้ก็ยังมีความเสี่ยง
อยู่และมีมากกว่าวิธีอื่นที่กล่าวมาแล้ว แต่ถ้าผลที่ได้ดี ผู้ป่วยจะมีชีวิตใกล้เคียงคนปกติมากกว่าวิธีอื่น
ผลการรักษาจะดีถ้าเป็นผู้ที่ไม่มีโรคของระบบอื่น นอกเหนือจากโรคไต ไม่มีภาวะติดเชื้อ และอายุไม่มาก
เป็นต้น ในการปลูกถ่ายไตแพทย์จึงต้องพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนและรอบคอบ
ว่าผู้ป่วยเหมาะสม
กับการรักษาด้วยวิธีนี้หรือไม่ รวมทั้งต้องเตรียมความพร้อมทั้งด้านร่างกายและจิตใจให้ผู้ป่วยด้วย
มิฉะนั้นผลจะไม่ดีและในบางครั้งอาจเสียชีวิตได้
สำหรับในผู้ป่วยโรคเบาหวานนั้นต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ทั้งในระยะก่อนผ่าตัด ขณะผ่าตัด
และ
หลังผ่าตัด เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น รวมทั้งภาวะน้ำตาลในเลือดสูง
ซึ่งอาจเกิดขึ้น
ได้ระหว่างการรักษาด้วยวิธีปลูกถ่ายไตทุกระยะ
จากประสบการณ์ในการรักษาที่ผ่านมาของผู้เขียน พบว่าผู้ป่วยที่มีกำลังใจดีและรักษาใจของตนเองได้ดี
ไม่ว่าจะรักษาด้วยวิธีใด ผลการรักษามักจะดี
มีคุณภาพชีวิตที่ดีแม้โรคที่เป็นจะรุนแรงหรือแม้จะ
ทุพพลภาพ การรักษาใจร่วมกับการรักษาวิธีอื่น ๆ ดังกล่าวมาแล้ว จึงมีความสำคัญมาก
และเป็นสิ่งที่ทั้ง
แพทย์ ผู้ป่วย และญาติ
ควรให้ความสำคัญและช่วยกันทำเพื่อผู้ป่วยจะได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีมีความสุข
แม้จะเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่
ข้อมูล
สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย
The
Nephrology Society of Thailand
ปกติธรรมชาติจะสร้างสิ่งสำรองให้อวัยวะต่างๆ
เสมอ ไตก็เช่นกัน
ถ้าตัดไตออก 1 ข้าง
ไตข้างที่เหลือจะทำงานชดเชยให้เพียงพอที่จะทำให้ร่างกายยังเป็นปกติอยู่
ได้
เมื่อการทำงานของไตเสื่อมลง
ในระยะแรกผู้ป่วยอาจมีอาการ
ปัสสาวะบ่อยขึ้นในเวลากลางคืน
ต่อมามักมีอาการโลหิตจางเล็กน้อย
การตรวจปัสสาวะอาจพบมีโปรตีนรั่วออกมาในปัสสาวะ
หรืออาจพบมีตะกอนผิดปกติ
มักเริ่มตรวจพบความดันโลหิตสูง
ต่อมาจะมีอาการแสดงชัดเจนมากขึ้น
เมื่อไตทำงานเสื่อมลงถึงจุดหนึ่ง
คือ
เมื่อจำนวนหน่วยไตเหลือน้อยกว่า
10-20%
ซึ่งจะมีของเสียคั่งในกระแสเลือด
จนมีอาการอย่างชัดเจน
อาการต่างๆ ที่พบได้แก่
บวม
เกิดจากเกลือคั่งในร่างกาย
หรือมีโปรตีนรั่วมาในปัสสาวะมาก
การตรวจปัสสาวะในระยะนี้
จะช่วยบอกถึงความผิดปกติได้
หากบวมมากจะทำให้เกิดอาการหอบเหนื่อย
จากการมีน้ำคั่งในปอดด้วย
ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อชีวิต
ปวดหลังหรือบั้นเอว
อาการปวดหลังโดยมากจะเกิดจากปัญหาของกระดูกสันหลัง
หรือบั้นเอวมากกว่า
อย่างไรก็ดีสาเหตุส่วนหนึ่ง
อาจเกิดจากโรคไตด้วย เช่น
นิ่ว
หรือการติดเชื้อที่กรวยไต
เป็นต้น
อาการของไตวายขั้นรุนแรง
เมื่อการทำงาสนของไตลดลงเหลือน้อยกว่า
20 %
จะมีอาการทางระบบอื่นตามมา
มากขึ้น เช่น
คลื่นไส้อาเจียน โลหิตจาง
เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ
สะอึก
รับประทานอาหารไม่ได้
จนมีสภาวะขาดสารอาหาร
อาจมีอาการหอบจากการคั่งของกรดในร่างกาย
ผู้ป่วยหญิงมักมีการขาดประจำเดือน
และไม่สามารถตั้งครรภ์ได้
ในเพศชายจะมีความรู้สึกทางเพศลดลง
การสร้างอสุจิลดลง
ต่อมาอาการจะเป็นมากขึ้น
ขาดสมาธิในการทำงาน ง่วง
ซึม บางคนนอนไม่หลับ
ตัดสินใจผิดพลาด
กล้ามเนื้อกระตุก หมดสติ
และถึงแก่กรรมในที่สุด
อาการเหล่านี้เป็นข้อบ่งชี้ว่า
ผู้ป่วยอยู่ในภาวะไตวาย
ระยะสุดท้ายที่ต้องรับการรักษา
ด้วยการบำบัดทดแทนไต
|